เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ต.ค. ๒๕๕๕

เทศน์เช้า วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๕

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

            โดยทั่วไปคนเกิดมา ถ้าคนเกิดมาในประเทศอันสมควร เราเกิดมาในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา คนที่เขาเกิดมาในประเทศที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา คนที่เขาเกิดในประเทศของเขา เห็นไหม ความเชื่อความถือของเขาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์สอนบอกว่าทำบุญกุศลแล้วได้บุญมาก ยิ่งทำบุญกับพระอรหันต์จะร่ำรวยมหาศาล แล้วเราก็ทำบุญของเรามาตลอด แล้วร่ำรวยไหมล่ะ? ความร่ำรวยเราไปมองกันข้างนอกนะ

เวลาสามเณรราหุล เห็นไหม เวลาขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะขอสมบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณานะ เราจะให้สมบัติสิ่งใด? จะขอสถานะเป็นกษัตริย์ต่อจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาแล้วให้พระสารีบุตรเป็นผู้บวชให้ เราจะให้อริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายในไง ถ้าอริยทรัพย์จากภายใน นี่สามเณรราหุลได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ คำว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เห็นไหม เราบอกว่าเราทำบุญกุศลมาก เราอยากประสบความสำเร็จในชีวิต เราอยากประสบสิ่งต่างๆ ที่มีความสุข

การทำบุญกุศลนะมันเป็นบุญกุศล กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของคนทำคุณงามความดี ถ้าคุณงามความดีนั้น เห็นไหม เขาบอกเวลาผู้ใหญ่เขาคุยกันนะ เด็กคนนี้นิสัยดี คนนี้นิสัยดี นี่กลิ่นของศีลหอมทวนลม คุณงามความดีทำแล้วเราจะมีอำนาจวาสนามีบารมี บารมีเพราะอะไร? บารมีเพราะว่ามีคนเขาเห็นใช่ไหม? แต่ถ้าเราเป็นคนเกเร เราเป็นคนเอารัดเอาเปรียบเขา เขาบอกเด็กคนนี้เป็นคนไม่ดี เราไปไหนมีแต่คนไม่อยากเข้าใกล้ ไปไหนก็มีแต่คนหนีห่าง นี่พูดถึงว่ากลิ่นของศีล นี่คุณธรรม

ฉะนั้น เราทำบุญกุศลกัน บุญกุศลทำเพื่อ นี่ถ้าโดยทั่วไป ถ้าพูดถึงศาสนานะ ศาสนาพูดถึงบุญ กุศลและอกุศล แต่ทางโลกว่าให้รวยๆๆ ถ้ารวยโดยสุจริตอันนั้นก็เห็นด้วย แต่ว่าให้รวยๆ รวยด้วยอย่างไร? พอรวยขึ้นไป เห็นไหม นี่ค้ากำไรเกินควร เขาบอกศาสนาพุทธเขียนเสือให้วัวกลัว บุญกุศลมีจริงหรือเปล่า? นรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า? แล้วบอกให้รวยๆ รวยหรือเปล่า? เวลาให้รวยๆ นี่ชอบ เวลาบอกว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วงงนะ งงมากเลย

ฉะนั้น ถ้าพุทธศาสนามีศีลมีธรรม ศีลเป็นเครื่องกรองว่าสิ่งนั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ถ้าสิ่งที่กรองนั้นถูกต้องแล้ว ธรรมนี้มันกว้างขวางมาก ธรรมกว้างขวางเราจะทำของเราขนาดไหนเพื่อประสบความสำเร็จของเรา เวลาเราเกิดมา เห็นไหม มนุษย์มีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน มนุษย์ต้องการเป็นอิสรภาพ ความเป็นอิสรภาพเราก็บอกว่ามนุษย์ต้องการอิสรภาพ นี่แล้วเป็นอิสรภาพ เราปล่อยไป เด็กเราไม่เลี้ยงดูมัน เราปล่อยมัน มันจะเป็นอิสรภาพ มันจะเอาชีวิตมันรอดได้ไหม? แต่ผู้ใหญ่ที่มีการศึกษา ผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ในชีวิต จะปล่อยไว้ที่ไหนเขาเอาชีวิตรอดทั้งนั้นแหละ

จิตก็เหมือนกัน ถ้าจิต เห็นไหม เราต้องการอิสรภาพ ต้องการอิสรภาพ แล้วอิสรภาพมันเกิดมาจากไหนล่ะ? อิสรภาพมันเกิดขึ้นมา นี่ถ้าความเป็นอิสรภาพ พวกเรามีอิสรภาพ มีเสรีภาพ ความมีเสรีภาพ ถ้ามันไม่โดนตัณหาความทะยานอยาก โดนกิเลสมันเหยียบย่ำในหัวใจมันจะเป็นอิสรภาพ นี้มันไม่เป็นอิสรภาพเพราะอะไรล่ะ? มันไม่เป็นอิสรภาพเพราะอวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง นี่ความไม่รู้จริงในหัวใจของเรานี่แหละมันมีทิฏฐิของมัน มีความเห็นของมัน แล้วความเห็นอันนั้นที่ออกมากระทบกระเทือนกัน ออกมามีความเห็นขัดแย้งกันก็ไม่ใช่ทิฏฐิอันนี้หรือ? ไม่ใช่ความเห็นจากภายในนี้หรือ? แล้วมีอิสรภาพไหมล่ะ?

ถ้าอิสรภาพมันปล่อยวางมาจากภายใน ถ้าภายในมันไม่เสวยอารมณ์ มันไม่เสวยนะ คำว่าเสวยอารมณ์ เห็นไหม นี่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ ภารา หเว ปัญจักขันธา ขันธ์นี้เป็นภาระ คำว่าเป็นภาระนี่รถมันปลดเกียร์ว่าง รถมีเกียร์ว่างอยู่ รถนี่เราควบคุมได้ รถเกียร์ว่างมันก็ไม่หมุนไป ถ้ารถมันใส่เกียร์ไว้นะ อย่าเหยียบคันเร่งมันพุ่งเลยนะ เหยียบแล้วมันพุ่งเลยนะ

ภารา หเว ปัญจักขันธา นี่ไม่เสวยอารมณ์ คำว่าไม่เสวยอารมณ์ มันรู้ของมัน มันใส่เกียร์ว่างของมัน แล้วใส่เกียร์ว่าง ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์อยู่ ๔๕ ปีนะ เกียร์ว่างรถมันจะเคลื่อนไปได้อย่างไรล่ะ? รถมันเคลื่อนไปนะ นี่สติที่เป็นอัตโนมัติ เวลาจะพูดสิ่งใด จะทำสิ่งใดมันมีสติพร้อมออกไปๆ พอสติพร้อมออกไป ถ้าเกิดทิฏฐิมานะ เวลาความเห็นแตกต่างกัน เขาเสนอความเห็นสิ่งใดมา นี่ผู้ที่ใส่เกียร์ว่าง เห็นไหม จะรับได้จะรับไม่ได้ จะพิจารณาอย่างไรก็ได้ อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าพูดไปแล้วเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์

นี่เรารู้อยู่ ทิฏฐิของเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่เขามีความเห็นของเขา เขาพูดของเขา เขายึดติดของเขา ถ้าเราตอบโต้ไปหรือว่าเราจะให้มันถูกต้อง เขาไม่พอใจหรอก มันต้องมีความขัดแย้งแน่นอน ถ้ามีความขัดแย้งแน่นอน นี่นิ่งอยู่ไง ให้เขาแสดงของเขา แล้วมีโอกาสที่จะแก้ไขเราก็แก้ไขของเรา ถ้าไม่มีโอกาสแก้ไข ถ้ามีโอกาสแก้ไขได้ทั้งหมดนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปล่อยให้เทวทัตไปลงนรกอเวจีเด็ดขาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความเมตตามากเลย ทำไมเทวทัตทำอย่างนั้น? ทำไมเทวทัตจะคิดทำร้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาพระเทวทัตมาขอ มาขอปกครองสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“เทวทัต แม้แต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาของเรา เรายังไม่ให้เลย เราจะให้เธอได้อย่างใด?”

นี่เหตุผลมันมีไง ถ้าเหตุผลมันมี ทำไมเทวทัตถึงไม่ขึ้นล่ะ? พอไม่ขึ้น นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พยายามจะช่วยเหลือเต็มที่ นี่ก็เหมือนกัน เราอยากเป็นอิสรภาพๆ แล้วอิสรภาพของเรา เราต้องสงวนรักษาของเรา นี้มันไปกระทบกันล่ะ? ถ้ากระทบกันอย่างไรมันถึงไม่เป็นอิสรภาพจริงไง ถ้ามันเป็นอิสรภาพจริง เห็นไหม นี่เราต้องดูแลตัวเรา

นี่ก็เหมือนกัน เราอยากร่ำอยากรวยๆ อยากร่ำอยากรวยแล้วเรามีสติปัญญาไหม? ถ้าเรามีสติปัญญานะ เงินเล็กน้อยเราสะสม เรารู้จักประหยัดมัธยัสถ์นะ เดี๋ยวก็ร่ำ เดี๋ยวก็รวย รู้จักประหยัด รู้จักมัธยัสถ์ รู้จักเก็บรักษา รู้จักบริหารจัดการมัน ถ้าไม่รู้จักประหยัดมัธยัสถ์มันจะเอาจากไหนมาร่ำมารวย มันได้มาน้อยกว่าจ่ายไป ถ้าได้มาน้อยกว่าจ่ายไปมันจะร่ำรวยมาจากไหนล่ะ? ฉะนั้น ถ้ามีสติปัญญามันรู้จักประหยัด รู้จักมัธยัสถ์ มันเก็บหอมรอมริบ รู้จักดูแลรักษา เดี๋ยวมันก็ร่ำมันก็รวย มันไปโดยข้อเท็จจริง

ถ้าโดยข้อเท็จจริง เห็นไหม นี่ถ้ามีสติมีปัญญา ถ้าไม่มีสติปัญญามันจะร่ำรวยมาจากไหน? ตัวเองก็ไม่รู้จักตัวเอง ถ้ารู้จักตัวเอง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะให้ทรัพย์นะ สามเณรราหุลเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพ่อแม่จะให้ทรัพย์ ทรัพย์จากโลก ถ้ามาขอทรัพย์สมบัติ อ้าว เราให้เลยนะเธอจะเป็นกษัตริย์ไปข้างหน้า พระเจ้าสุทโธทนะปรารถนาอย่างนั้นอยู่แล้ว สังคมก็เห็นกันได้ง่ายๆ ใช่ไหม? ปู่ไง ในเมื่อลูกออกบวชแล้ว ลูกออกบวชไปแล้วก็อยากได้หลานไว้ ก็ให้หลานมาขอว่าจะขึ้นครองราชย์

นี่พ่อก็คิดไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คิดว่าประโยชน์สิ่งใด? เวลาให้ประโยชน์นะให้พระสารีบุตรบวชให้ พอให้พระสารีบุตรบวชให้นะ พระเจ้าสุทโธทนะเสียใจมาก ลูกก็เสียไปแล้ว อยากได้หลาน หลานก็ไปอีก ถึงไปขอพรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ต่อไปนี้ถ้าจะมีคนบวชต้องให้พ่อแม่อนุญาตก่อน ถ้าไม่ให้พ่อแม่อนุญาตก่อน นี่ไงจิตใจของปู่มันเจ็บช้ำอยู่นี่ไง ต้องให้พ่อแม่อนุญาตก่อน ถ้าไม่ให้พ่อแม่อนุญาตห้ามบวช

นี่ไปขอไว้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้บัญญัติธรรมวินัยอันนี้ไง ถ้าจะบวชต้องให้พ่อแม่อนุญาตก่อน พ่อแม่อนุญาตก่อนไง แต่สุดท้ายแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เทศนาว่าการจนพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ไปด้วยกัน ได้อริยทรัพย์ ทรัพย์อย่างนี้เราเห็นได้ยาก เวลาเราภาวนากันนี่ว่างๆ ว่างๆ อวกาศก็ว่าง โลกมันว่างหมด ในโอ่งในไหมันก็ว่าง ความว่างของเรา ว่างมันไม่ได้แก้ไขสิ่งใดเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาอยู่ที่โคนต้นโพธิ์กำหนดอานาปานสติ ถ้ากำหนดอานาปานสติ จิตสงบมันก็ว่าง แต่มันว่างไปแล้วมันไปรู้ไปเห็นของมัน

บุพเพนิวาสานุสติญาณ...ไม่ใช่ดึงกลับมา จุตูปปาตญาณ...ไม่ใช่ดึงกลับมา เวลามันเกิดอาสวักขยญาณมันว่างไหม? ถ้ามันว่างมันก็ว่างไปแล้ว มันว่างมันว่างมาจากไหนล่ะ? นี่มันว่างมาจากไหน ความว่างจิตถ้ามันปล่อยวาง จิตเรา นี่เรามีความรู้สึกนึกคิด เรามีความต่างๆ แบกรับภาระไว้ตึงเครียดไปหมดเลย ถ้าเราปล่อยวางได้เราก็มีความสะดวกสบาย เราปล่อยวางได้เราก็มีความสุข มีความสงบความระงับ ถ้าความสงบระงับแล้วมันไม่ตื่นเต้นไปกับโลกนะ แต่ถ้าเรารักษาจิตใจของเราไม่ได้ เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร มันก็กระทบแล้วมันไปหมด มันไปหมดเลย

แต่ถ้าเราควบคุมใจของเราได้ รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เราได้วางไว้แล้ว รูป รส กลิ่น เสียงนี้ไม่กระตุ้นให้จิตใจนี้ฟุ้งซ่านไปกับเขา พอจิตมันมีกำลังของมัน มันควบคุมตัวมันได้ ดูสิคนเราถ้ามีปัญญานะ อาหารนี่เขาจะเลือกนะ อาหารอะไรเป็นโทษเขาไม่กิน เขาจะกินอาหารที่เป็นประโยชน์กับเขา แต่ถ้าเราคนทุกข์คนจน มีสิ่งใดเราหามาด้วยกำลังเราได้เท่านี้ เราต้องประทังชีวิตเราไป เราต้องกินก่อนไหม? เรากินเพื่อให้เราดำรงชีวิตของเราไป แต่ถ้าเรามีของเรา เราค่อยเลือกของเรา เราจะไม่ทำอย่างนั้น เราจะทำให้ดีขึ้น

จิต จิตถ้ามันไม่มีกำลังของมัน เห็นไหม มันเสวยอารมณ์ มันกินไปหมดเลย อะไรผ่านมา แจ้บๆ แจ้บๆ ความคิดอะไรมันกินหมด ฉันถูก ฉันดี ฉันมั่นคง ฉันปล่อยวาง ฉันรู้ไปหมดเลย มันหิวกระหายของมัน มันไม่รู้ตัวมันไง แต่ถ้ามันพุทโธ พุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิจนมันว่าง มันปล่อยวางของมัน มันว่างต้องมีสตินะ ไม่ใช่ว่างๆ ว่างๆ ว่างอย่างนั้นเขาเรียกว่าเหม่อ

ว่างมีสติ เวลามันจับมันต้องได้ อาหาร เห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เพราะเราไม่มีสติปัญญามันถึงเป็นบ่วงของมาร นี่มันเป็นบ่วงมาล่อ เป็นพวงดอกไม้มาล่อ เป็นบ่วงมารัดคอเรา แล้วเราก็ดิ้นโครมครามๆ อยู่กับบ่วงห่วงล่ออยู่อย่างนี้ แต่เวลามันปล่อยวางมันได้ เวลาบ่วงมันจะมายิ้มเลย นี่คล้องฉันไม่ได้ ถ้าพวงดอกไม้มันจะล่อฉันไม่ไปเดี๋ยวมันก็เฉา เดี๋ยวมันก็ร่วงโรย เห็นไหม สติมันมี

ถ้าสติมันมีนะ เวลาเราจะพิจารณา เวลาเราทำให้จิตใจเราเป็นอิสรภาพ เราจะทำจิตใจเราไม่ให้มีสิ่งใดครอบงำมัน มันจะไปพิจารณาที่ไหนล่ะ? มันก็พิจารณาจากรูป รส กลิ่น เสียงนี่แหละ แต่รูป รส กลิ่น เสียงที่มีสติมีปัญญาดูแล รูป รส กลิ่น เสียงที่สติปัญญา จิตมันจับขึ้นมาพิจารณา มันใคร่ครวญของมัน มันเห็นโทษของมัน พอเห็นโทษมันก็ปล่อยวางมากขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น เวลามันจะละเอียดมากขึ้น ถ้ามันเห็นชัดเจนขึ้นมา นี่รูป รส กลิ่น เสียง กาย เวทนา จิต ธรรม มันกระทบอย่างไร?

ถ้ามันกระทบอย่างไร มันพิจารณาของมันไปนะ เวลามันปล่อยมันพิจารณามาถึงที่สุด นี่ไงสิ่งที่มันจะเป็นอิสรภาพๆ มันเป็นที่นี่ แล้วถ้าที่นี่เป็นอิสรภาพแล้วนะ เราจะเห็นนาฬิกามันหมุนไป เวลามันหมุนไป โลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เราจะไม่รั้งสิ่งที่เราพอใจไว้ เราจะไม่ผลักไสสิ่งที่เราไม่พอใจออกไป มันต้องเป็นไปแบบนี้ ไม่มีสิ่งใดคงที่ แต่ก่อนเราปรารถนาให้มันคงที่ ปรารถนาให้มันพอใจกับเรา

ถ้าเรามีสติมีปัญญา เห็นไหม เวลาพิจารณาจนมันขาด มันเข้าใจได้หมด รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เราไม่ไปสนใจกับมันเลยนะ เรารักษาจิตของเรา เวลาจิตของเราพิจารณาเข้าไปๆ จนมันถอนอวิชชา ภวาสวะ ถอนภพถอนชาติหมด นี่เป็นธรรมธาตุ เป็นสิ่งที่เป็นอิสรภาพ เป็นเสรีภาพ ถ้าเป็นอิสรภาพ เป็นเสรีภาพนะมันเป็นที่นี่ แล้วถ้าเป็นอิสรภาพเป็นเสรีภาพ เราอยู่กับโลกได้ เข้าใจมันได้ เข้าใจมันได้ เห็นไหม

นี่เวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีฤทธิ์มีเดชไปทั้งนั้นแหละ เวลาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไปเผยแผ่ธรรม เจ้าลัทธิต่างๆ เขาจ้างคนมาด่า เขาจ้างต่างๆ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช้ฤทธิ์ไม่ใช้เดชล่ะ? ใช้ฤทธิ์ใช้เดชไปมันไม่กระทบถึงใจของเขา นี่มันไม่กระทบถึงใจของเขา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เขาสำนึก ให้เขารู้ผิดชอบชั่วดี พอเขาสำนึกผิดชอบ ชั่วดีมันมาจากใจ ถ้าเขาสำนึกผิดชอบชั่วดี เขาแก้ไขของเขา เขาจะได้ทรัพย์สมบัติของเขา เขาจะไม่มีใครชักจูงเขา แต่นี้คนนอกชักจูง แล้วกิเลสมันชักจูงล่ะ? เราถึงเป็นขี้ข้า เราเป็นทาสของกิเลสกันมาตลอดนะ แต่เพราะกิเลสเป็นพลังงานที่มันขับเคลื่อนมาให้เราเวียนตายเวียนเกิด มันเป็นธรรมชาติ มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นของมันอย่างนี้

เวลาเราศึกษาขึ้นมาแล้วนี่เรารู้ทฤษฎี รู้กฎของธรรมชาติ แล้วเราจะไม่หมุนไปกับมันอีกแล้ว เห็นไหม เราจะไม่หมุนไปกับมันอีกแล้ว มันพ้นออกไปจากวัฏฏะ วัฏฏะคือการเวียนตายเวียนเกิด มันเป็นอนิจจัง มันแปรสภาพของมันอยู่ แล้วสิ่งที่มันคงที่ คำว่ามันไม่หมุนไปมันต้องคงที่ กุปปธรรม อกุปปธรรมนะ กุปปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา นี้เป็นผลของวัฏฏะ เป็นการเปลี่ยนแปลง เป็นเหตุเป็นปัจจัย เป็นผลของการกระทำที่มันจะเกิดผล พอผลเกิดขึ้นมาแล้ว อกุปปธรรมไม่แปรสภาพ อฐานะที่จะเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้ผู้รู้ผู้เห็นจะเข้าใจได้ ผู้รู้ผู้เห็นเขาจะเป็นของเขาเอง นี่มันถึงว่าถ้าใครเข้าไปถึงนะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต แล้วจะไม่โต้เถียงกัน ไม่โต้แย้งกัน มันจะเป็นความจริงเหมือนกัน ความเหมือนกันอันนี้ นี่ความเป็นอิสรภาพแท้

ทำบุญกุศลเพื่อประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นพาหะนำพาชีวิตนี้ไป นี่บุญกุศลของเราเพื่อให้ใจนี้มีหลักมีเกณฑ์ แล้วถ้ามันมีปัญญาของมันเป็นภาวนามยปัญญานะ เราจะเห็นคุณค่าของศาสนา ศาสนานี่ศีลธรรม จริยธรรม ประเพณีวัฒนธรรมเป็นเครื่องแสดงออกของชาวพุทธ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาเกิดอกุปปธรรม ธรรมแท้ๆ ในหัวใจ มันแปลกประหลาด มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก

ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาจากโลก ปัญญาจากธรรม ถ้ามันเป็นขึ้นมาจริงในหัวใจดวงนั้น ในหัวใจดวงนั้นจะแจกแจง แยกแยะให้ผู้ที่ฝึกหัด ให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้เทียบเคียง แล้วถ้าผลเกิดขึ้นมามันเป็นอันเดียวกัน ฉะนั้น มันจะเป็นอิสรภาพเสรีภาพด้วยเหมือนกัน ฉะนั้น มันอยู่ที่หัวใจของเรานะ คำว่าหัวใจของเรา ถ้าเราหยาบเรามองไม่ออกหรอก มันเป็นความรู้สึก เป็นนามธรรม แล้วพูดอะไรเป็นนามธรรม เอาแต่เป็นวัตถุที่จับต้องได้สิ เป็นวิทยาศาสตร์สิ

เป็นวิทยาศาสตร์ เวลาทุกข์มันบีบคั้นใจนัก เวลาสุขมันก็พอใจนัก แล้วมันเกิดดับ แล้วถ้าสิ่งที่มันคงที่ วิมุตติสุขที่ไม่เกิดดับมันเป็นอย่างไร? นี่มันพิสูจน์ได้ พิจารณาได้ ทำได้ในหัวใจของเรา เอวัง